ข่าวกีฬา

UFABETWIN ฟลุคที่ไม่ฟลุค : “สตีเฟ่น แบรดบิวรี่” นักสเก็ตที่ได้เหรียญทองเพราะคู่แข่งพากันล้มหมด

การแข่งขันสปีดสเก็ตติ้งระยะ 1,000 เมตรชาย ที่โอลิมปิกฤดูหนาวปี 2002 ได้กลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะว่านักกีฬาตัวเต็งคว้าแชมป์ทุกรายพากันลื่นล้มระเนระนาดกันในช่วงโค้งสุดท้าย จนส่งให้ สตีเฟ่น แบรดบิวรี่ เข้าป้ายคว้าเหรียญทองไปแบบแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง

หากดูแบบผิวเผินนี่คือการคว้าแชมป์แบบมากับดวงขั้นสุด แต่เมื่อได้เจาะลึกลงไปยังชีวิตของนักแข่งชาวออสซี่รายนี้แล้ว เส้นทางสู่การเป็นผู้ชนะของเจ้าตัวแทบไม่เคยประสบกับความราบรื่นเลย และแถมยังเกือบต้องเลิกเล่นจากอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสภาพร่างกายของ แบรดบิวรี่ มาแล้ว

นี่คือเรื่องราวของแชมป์โอลิมปิกที่พลิกล็อกถล่มถลายที่สุด ที่ยืนหยัดด้วยความเชื่อมั่น จนนำพาเจ้าตัวข้ามเส้นชัยเป็นคนแรกได้สำเร็จ

นักบุกเบิกของชาติ

แม้จะเป็นชาติใหญ่และเข้าร่วมการแข่งขันอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 70 ปี แต่กับการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวแล้ว ออสเตรเลีย กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากสักเท่าไหร่

ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ไม่ค่อยเอื้อต่อกีฬาฤดูหนาวหรือวัฒนธรรมกับการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆที่ไม่มากพอ จนทำให้เหล่านักกีฬาชาวออสซี่เหล่านี้ต้องเน้นเข้าร่วมมากกว่าเข้ารอบแทน

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจากการเข้ามาของ เจฟ เฮนเก้ ผู้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการโอลิมปิกออสเตรเลีย ด้วยการเป็นอดีตนักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง ผู้เคยชวดเดินทางไปลงแข่งขันในโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1956 เพียงเพราะทางคณะกรรมการไม่เคยตอบกลับคำขอไปร่วมแข่ง แม้ว่าทีมฮอกกี้น้ำแข็งจะยอมออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเองแล้วก็ตาม

เมื่อเคยสัมผัสประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดมาด้วยตนเองแล้ว เฮนเก้ จึงทราบดีว่าการขาดแรงสนับสนุนนั้นก็เพียงพอต่อการตัดโอกาสของนักกีฬารุ่นใหม่ ดังนั้น ในปี 1981 เจ้าตัวจึงพาคณะกรรมการไปร่วมประชุมกันที่เทือกเขาแอลป์ของออสเตรเลีย เพื่อเป็นการพาไปซึมซับบรรยากาศของกีฬาฤดูหนาวอย่างแท้จริง

“นั่นคือครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคณะกรรมการให้การสนับสนุนทีมกีฬาฤดูหนาวอย่างแท้จริง” เจ้าตัวเปิดเผยหลังสิ้นสุดการประชุม ซึ่งนั่นก็สะท้อนออกมาผ่านผลงานในสนาม เพราะ ออสเตรเลีย ใช้เวลาอีกเพียงแค่ 10 ปี ในการส่งทีมสเก็ต 5,000 เมตร ขึ้นไปคว้าแชมป์โลกรายการแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศได้

สตีเฟ่น แบรดบิวรี่ คือหนึ่งในนักกีฬาชุดคว้าแชมป์โลกครั้งดังกล่าว พร้อมกับได้เดบิวต์โอลิมปิกครั้งแรกด้วยวัยเพียง 19 ปี ด้วยการอยู่ในทีมชุดความหวังของชาติในการคว้าเหรียญรางวัลแรกในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย

แต่แล้วการลื่นล้มในรอบรองชนะเลิศ ก็ทำให้ทีมนักกีฬาชาวออสซี่ต้องจอดป้ายด้วยการจบอันดับที่ 7 เท่านั้น ซึ่ง แบรดบิวรี่ ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรทีมได้ เนื่องจากเจ้าตัวถูกวางชื่อไว้เป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น ออสเตรเลีย จึงปิดฉากโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1992 แบบคว้าน้ำเหลวไปอีกหน

สู่เหรียญแรกอย่างยิ่งใหญ่

โอกาสแก้มือของ แบรดบิวรี่ มาถึงในอีกสองปีให้หลัง เนื่องจากมีการปรับกำหนดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ให้ไม่จัดชนกับโอลิมปิกฤดูร้อน ซึ่งในครั้งนี้ แบรดบิวรี่ ได้เก็บเลเวลกับทีมมาเพียงพอที่จะยึดตำแหน่ง 1 ใน 4 นักสเก็ตตัวจริง

 

UFABETWIN

 

แทคติกสำคัญของทีมนักสปีดสเก็ตกิ้งในรอบนี้คือ ห้ามล้ม เป็นอันดับแรก และอย่าไปทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงให้ตัวเองโดนตัดสิทธิ์ได้ ซึ่งส่งให้ทีมเข้ามาสู่รอบชิงเหรียญรางวัล แบบจบอันดับที่สองในรอบรองชนะเลิศอย่างไม่ยากเย็นนัก

ทีนี้ในรอบชิงชนะเลิศ มีทีมเข้าแข่งอยู่ทั้งสิ้น 4 ชาติเท่านั้น ได้แก่ แคนาดา เจ้าของเหรียญเงินเก่า, อิตาลี เจ้าของสถิติโอลิมปิก และ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อโอกาสคว้าเหรียญรางวัลเปิดกว้างขนาดนี้ จึงทำให้เหล่านักสเก็ตชาวออสซี่ตัดสินใจเอากลยุทธ์เดิมมาใช้ต่อ นั่นคือพวกเขาจะไม่ไปไล่บี้แข่งขันกับชาติข้างหน้ามากนัก แต่จะรอโอกาสแซงถ้ามีใครสักคนเกิดพลาดขึ้นมา

และแล้วความซวยครานี้ก็ไปตกอยู่กับนักสเก็ตจาก แคนาดา ที่เกิดลื่นล้มไปรอบหนึ่ง จนส่งให้ ออสเตรเลีย ขึ้นไปอยู่ตำแหน่งคว้าเหรียญรางวัลได้แบบสบายๆ แถมยังมีโอกาสลุ้นเบียดแย่งตำแหน่งเหรียญเงินกับนักแข่งจาก สหรัฐอเมริกา อีกด้วย ก่อนที่ ริชาร์ด นิเซลสกี นักแข่งคนสุดท้ายจะตัดสินใจถอยออกมา เพื่อป้องกันการโดนปรับแพ้หรือหลุดจากตำแหน่งเหรียญทองแดงไป เนื่องจากเจ้าตัวคือคนที่เคยล้มมาเมื่อปี 1992 จนทำให้ทีมอดลุ้นเหรียญรางวัลมาก่อนแล้วรอบนึง

นี่คือเหรียญทองแดงแรกและเหรียญรางวัลแรกในประวัติศาสตร์ของ ออสเตรเลีย ที่จุดประกายความหวัง ความสนใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนจำนวนมาก แต่ทว่าเส้นทางของ แบรดบิวรี่ กลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หนำซ้ำเจ้าตัวมักโดนหนามแหลมคมทิ่มแทงเป็นส่วนใหญ่เสียอีก

หยาดเหงื่อ คราบเลือด และ รอยน้ำตา

กีฬาสปีดสเก็ตติ้ง โดยเฉพาะประเภทสนามระยะสั้น เป็นชนิดกีฬาที่มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากการแข่งขันที่เน้นในเรื่องความเร็วสูง นักกีฬาแต่ละคนจะต้องคอยแย่งตำแหน่งระหว่างกันและกัน โดยเฉพาะระหว่างเข้าโค้ง กับระยะทางสนามที่มีเพียง 111 เมตรต่อรอบ แถมยังมีใบมีดที่ค่อนข้างแหลมบริเวณปลายรองเท้าสเก็ต ซึ่งถูกใช้เพื่อยึดเกาะกับน้ำแข็งบนพื้นสนาม อันอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาได้

และคนที่ดวงแตกในรอบนี้ ก็คือ แบรดบิวรี่ ผู้โดนใบมีดจากนักกีฬาอีกรายผ่าเข้าที่ต้นขาขวาของตนระหว่างแข่งขันที่แคนาดาในปี 1995 จนเจ้าตัวเสียเลือดจากร่างกายไปเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ถ้าเขาเกิดหมดสติไปก่อนเดินทางไปยังโรงพยาบาลก็อาจหมายความว่าเจ้าของเหรียญทองแดงรายนี้อาจไม่ฟื้นกลับมาอีกเลยก็เป็นได้

เคราะห์ยังดีที่การรักษาดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ถึงกระนั้น แบรดบิวรี่ ก็โดนเย็บแผลไปมากกว่า 111 เข็ม โดยไม่สามารถขยับขาขวาได้นานกว่า 3 อาทิตย์ แถมยังต้องใช้เวลานานกว่าปีครึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาพร้อมลงแข่งขันต่อได้

แต่เมื่อกลับมาลงเล่นต่ออีกครั้ง เจ้าตัวก็ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ ไม่ว่าจะเป็นประเภทเดี่ยวหรือทีมก็ตาม โดยเฉพาะการแข่งขันแบบเดี่ยวที่เขานั้นเกิดลื่นล้มแล้วไปชนเข้ากับนักแข่งรายอื่นทั้งในประเภท 500 เมตร และ 1,000 เมตร จนไม่สามารถทำเวลาผ่านรอบคัดเลือกได้เลย

ถ้านั่นยังเลวร้ายไม่พอ แบรดบิวรี่ ยังต้องมาประสบกับอุบัติเหตุอีกครั้งในเดือนกันยายน ปี 2000 เมื่อเจ้าตัวพยายามกระโดดหลบนักแข่งที่ล้มไปตรงหน้า จนเกิดสะดุดแล้วหัวไปฟาดเข้ากับบริเวณข้างสนามแข่งขันอย่างจัง

กระดูกสันหลังส่วนคอ C4 และ C5 ของเขาร้าว จนต้องมีการเจาะกะโหลกเพื่อเอาอุปกรณ์ดามให้หลังกับหน้าอกของเขาช่วยประคองน้ำหนักของศีรษะเอาไว้นานกว่าเดือนครึ่ง พร้อมกับได้รับคำแนะนำจากคุณหมอว่าเจ้าตัวไม่ควรกลับไปลงแข่งสเก็ตอีกแล้ว

UFABETWIN

 

แน่นอนว่าบทความนี้คงไม่เกิดขึ้นหากเจ้าตัวเชื่อฟังคำแนะนำของแพทย์ นั่นเพราะ แบรดบิวรี่ ตัดสินใจว่าเขาอยากกลับมาแก้มืออีกสักหน หลังจากพลาดท่าลื่นล้มในโอลิมปิกครั้งก่อน คืออย่างน้อยเขาอยากลองฝีมือสักนิดว่าถ้าเจ้าตัวไม่ล้ม โดยเอาแทคติกที่เคยพาให้เขาคว้าเหรียญแรกได้มาใช้อีกครั้งมันจะเป็นอย่างไร

ในหัวของ แบรดบิวรี่ ไม่เคยหวังถึงเหรียญทองเลย คือแน่ล่ะว่านักกีฬาต้องมีแอบคิดบ้าง แต่เขาก็ยอมรับว่าโอกาสที่จะคว้ามาได้นั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน

ล้มแล้วต้องลุก

สตีเฟ่น แบรดบิวรี่ เดินทางมาร่วมแข่งโอลิมปิกอีกครั้งกับทีมชาติออสเตรเลีย ด้วยการทำเวลาผ่านเกณฑ์ทั้งประเภททีม และเดี่ยวที่ระยะทาง 500, 1,000 และ 1,500 เมตร

รอบนี้เจ้าตัวไม่ล้มแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าความเร็วของเขาไม่อาจทัดเทียมเหล่านักแข่งรุ่นใหม่ได้เลย แม้เขาจะพาเพื่อนร่วมทีมเข้าป้ายอันดับ 3 ในรอบรองชนะเลิศ แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะส่งให้ ออสเตรเลีย เข้าไปชิงเหรียญรางวัลได้ จนกระทั่งมาถึงการแข่งขันรายการที่สองของเจ้าตัว อย่างสปีดสเก็ตติ้งระยะ 1,000 เมตร ที่เรื่องราวปาฏิหาริย์ต่างๆได้บังเกิดขึ้น

แบรดบิวรี่ ผ่านรอบคัดเลือกมาด้วยการจบอันดับหนึ่ง ก่อนจะถูกจับมาอยู่สายเดียวกับ อโพโล โอโน นักแข่งดาวรุ่งพุ่งแรงของ สหรัฐอเมริกา ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่จะคัดเอาเพียงนักกีฬา 2 คนแรกของแต่ละสายเข้าไปแข่งขันต่อในรอบรองชนะเลิศ

ผลคือ แบรดบิวรี่ จบที่อันดับสาม ซึ่งตามหลักแล้วเจ้าตัวจะต้องตกรอบนี้ไป ทว่าคณะกรรมได้ปรับแพ้ฟาวล์ มาร์ค แกกนอน จาก แคนาดา อดีตเจ้าของเหรียญทองแดงในรายการนี้เมื่อปี 1994 ด้วยสาเหตุจากการไปบังทางนักแข่งชาว ญี่ปุ่น จนทำให้อานิสงส์ไปตกอยู่กับนักแข่งชาว ออสเตรเลีย ให้เขาทะลุเข้าสู่รอบรองได้สำเร็จ (เช่นเดียวกับ นาโอยะ ทามูระ ที่โดน แกกนอน ขวางทาง ก็ได้เข้ารอบไปด้วย)

พอมาถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว แบรดบิวรี่ ทราบดีว่าเจ้าตัวไม่ได้มีความเร็วเหมือนกับนักแข่งคนอื่น ด้วยอายุที่มากที่สุดเป็นอันดับสองของการแข่งขัน แถมยังต้องลงเล่นต่อเนื่องตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบชิงเหรียญในวันเดียวกัน จึงทำให้เจ้าตัวตัดสินใจนำแทคติกเดิมจากเมื่อปี 1994 มาใช้

สเก็ตไปเรื่อยๆตามจังหวะของตนเอง ไม่ต้องไปไล่บี้แข่งกับใครข้างหน้า และภาวนาให้พวกเขาก่อข้อผิดพลาดขึ้นมาเอง

“ผมรู้ดีกว่าทุกคนว่า อะไรๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้”

และในรอบสุดท้ายของการแข่งรอบรองชนะเลิศ แบรดบิวรี่ ผู้รั้งท้ายอยู่ไกลลิบ ก็ได้แซงหน้านักแข่งจากเกาหลีใต้ที่ลื่นล้มไปในทางตรง ก่อนที่นักกีฬาจาก จีน และ แคนาดา จะเกี่ยวกันล้มในโค้งสุดท้าย ส่งให้ แบรดบิวรี่ เข้าเส้นชัยเป็นอันดับสอง แถมยังถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง เมื่อ ซาโตรุ เทราโอะ จาก ญี่ปุ่น ผู้เข้าเส้ยชัยเป็นคนแรก ถูกปรับแพ้ฟาวล์ไปอีกราย

อย่างไรก็ตาม คู่แข่งในรอบชิงของเขานั้นเหมือนเป็นการรวมดาวเลย ไม่ว่าจะเป็น หลี่ เจียจุน แชมป์โลก 10 สมัย, แมตธิว เทอร์ค็อตต์ แชมป์โลก 3 สมัย, อโพโล โอโน แชมป์โลก 2 สมัย ตัวเต็งคว้าเหรียญทองอันดับหนึ่ง และ อัน ฮยอง ซู ดาวรุ่งจากเกาหลีใต้ ซึ่งดูแล้วยังไง แบรดบิวรี่ ก็ไม่น่าติดอันดับลุ้นเหรียญได้เลย

“เอานี่” คือสิ่งที่เจ้าตัวกล่าวกับกล้องถ่ายทอดสด หลังทราบว่าเขาจะได้ลงแข่งในรอบชิง หรือถ้าแปลให้ตรงกับบริบทตามสถานการณ์ก็คงไม่พ้นคำว่า “ก็มาดิค้าบ”

เมื่อสัญญาณออกสตาร์ทดังขึ้นในค่ำคืนนั้น แบรดบิวรี่ เข้าไปอยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายตั้งแต่ตอนออกตัว และค่อยๆถูกทิ้งระยะห่างไปไกลขึ้นเรื่อยๆทีละนิด จนดูไม่เห็นแววว่าเขาจะสามารถแซงใครได้เลย

“ผมไม่เห็นว่ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแผนนะ” แบรดบิวรี่ ได้เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในรอบชิงของเขา ซึ่งในมุมที่ว่าการเข้าถึงรอบชิงก็เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้ว และการแข่งจบโดยไม่ล้มก็คงเป็นสิ่งที่เติมเต็มความฝันของชายคนนี้ได้ไม่น้อย โดยไม่ต้องไปหวังถึงการขึ้นไปยืนอยู่บนโพเดียมร่วมกับเหล่าสายเลือดใหม่ที่กำลังหํ้าหั่นกันอยู่ข้างหน้าเขา

แต่แล้วที่โค้งสุดท้าย เหตุการณ์ที่เหมือนฉายภาพซ้ำจากรอบรองชนะเลิศก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ หลี่ เป็นคนแรกที่ล้มลง จากการพยายามเร่งความเร็วขึ้นมาแซง โอโน ต่อด้วย อัน ผู้นำในขณะนั้นที่เกิดลื่นระหว่างกำลังออกจากโค้งมาเข้าเส้นชัย พร้อมกับกวาดเอาทั้ง ธัวคอตต์ และ โอโน ออกจากไลน์การแข่งขันไปด้วย

ทีนี้ แบรดบิวรี่ ที่อยู่ห่างออกไป ก็เลยเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปฏิกิริยาลูกโซ่ครั้งนี้ และสามารถวิ่งเข้าเส้นชัยไปแบบง่ายดาย ท่ามกลางความช็อกของผู้คนในสนาม และเช่นกันกับตัวของ แบรดบิวรี่ เองด้วย

เหรียญทองแรกในประวัติศาสตร์ของ ออสเตรเลีย มาจากคนที่น่าจะอยู่นอกสายตาที่สุดคนหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ ในรายการที่พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะทะลุเข้าไปถึงรอบชิงเหรียญรางวัลมาได้เลย

เมื่อกลับมาถึงบ้านเกิดของตน สตีเฟ่น แบรดบิวรี่ กลายเป็นผู้โด่งดังไปในทันที เรื่องราวของเขาเปรียบดั่งหลุดมาจากนิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า แถมยังเกิดเป็นวลีที่ว่า อันแปลว่าการประสบความสำเร็จแบบไม่คาดคิด ซึ่งถูกเพิ่มลงในคลังศัพท์อย่างเป็นทางการของ ออสเตรเลีย ในปี 2016 อีกด้วย

“ผมยอมรับเหรียญทองนี้นะ แต่ไม่ใช่จากช่วง 90 วินาทีในสนามแข่ง ผมขอรับมันจากการทำงานหนักมากว่า 14 ปีของตัวเอง” แบรดบิวรี่ เปิดเผยถึงเหรียญทองประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ที่ได้ปิดฉากเส้นทางอาชีพนักสเก็ตลงอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับเป็นจุดเริ่มต้นของหนึ่งในเรื่องราวสุดคลาสสิกแห่งการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวเลยทีเดียว

UFABETWIN

UFABETWIN

UFABETWIN โอลิมปิกฤดูหนาวที่ไม่หนาว ? : ทำไมจีนเลือก “ปักกิ่ง” เป็นเจ้าภาพ ทั้งที่แทบไม่มีหิมะตกเลย

สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงปักกิ่ง หรือสนามรังนก จะถูกใช้ในพิธีเปิดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกอีกครั้ง หลังจากที่เคยเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 เดือน 8 ปี 2008

สิ่งที่แตกต่างออกไปคือครั้งนี้ไม่ใช่ โอลิมปิกฤดูร้อน แต่เป็น โอลิมปิกฤดูหนาว ซึ่งทำให้ปักกิ่งกลายเป็นเมืองแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถจัดโอลิมปิกของทั้งสองฤดูได้

แต่ทำไมจีนถึงต้องส่งปักกิ่งมาเป็นเมืองเจ้าภาพ ในเมื่อเมืองหลวงแห่งนี้มีหิมะตกลงมาน้อยมาก และทางแก้ที่ถูกนำมาใช้งานนั้นก็กลับไม่ได้ “รักษ์โลก” ตามที่เป็นคำมั่นสัญญาไว้เลย

จะพาคุณผู้อ่านไปตามหาคำตอบของคำถามข้างต้นกัน

ทำไมต้องปักกิ่ง

นี่คือคำถามข้อใหญ่ที่ผู้เขียนวงไว้ตัวโต ๆ เมื่อเห็นว่าโอลิมปิกฤดูหนาวปีนี้จะกลับมาสู่เมืองที่เคยจัดโอลิมปิกฤดูร้อนไปเมื่อ 14 ปีก่อนหน้าเท่านั้น

หากมองแบบผิวเผิน ชาติต่าง ๆ ก็ต้องเอาเมืองหลวงของประเทศมาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ด้วยความพร้อมในสิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย และความสามารถในการต่อเติมหรือพัฒนาตัวเมืองเพิ่มเติม เพื่อทั้งรองรับมหกรรมกีฬาควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในระยะยาวไปได้ในเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ตามในตลอดประวัติศาสตร์ของโอลิมปิกฤดูหนาว มีเพียงแค่กรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ เท่านั้น ที่เป็นเมืองหลวงและได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ซึ่งครั้งดังกล่าวก็ต้องย้อนเวลากลับไปถึงปี 1952 เลยทีเดียว

ซึ่ง ออสโล ก็คือหนึ่งในเมืองที่ถอนตัวจากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกครั้งนั้นจากปัจจัยหลัก ๆ คือเรื่องงบประมาณการเป็นเจ้าภาพที่เคยพุ่งไปแตะหลัก 51,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อครั้งเมือง โซชิ ของรัสเซีย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในปี 2014 ที่ต่อให้แผนของนอร์เวย์จะกินงบประมาณน้อยกว่าถึง 10 เท่า ก็ยังโดนประชาชนต่อต้าน จนรัฐบาลต้องใส่เกียร์ถอยเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ

และเมื่อเหลือแค่ ปักกิ่ง กับ อัลมาตี ของคาซัคสถาน ซึ่งรายหลังไม่เคยมีประสบการณ์จัดมหกรรมกีฬาระดับนี้มาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ทางจีนจะเป็นฝ่ายได้สิทธิ์การเป็นเจ้าภาพไปครอง แต่ก็ด้วยคะแนนที่ห่างกันแค่ 4 แต้มเท่านั้น

ทีนี้เหตุผลที่จีนเลือกเมืองหลวงของตนมาเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกฤดูหนาว ทั้งที่มีหิมะตกอยู่แค่หยิบมือบวกกับการขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งมลภาวะ ระดับที่ฝุ่นในเมืองหลวงของบ้านเรานั้นดูน้อยไปเลย (แต่ก็ยังถือว่าเยอะในระดับอันตรายอยู่ดีนั่นแหละ) ก็เป็นเพราะว่า นี่คือโอกาสในการแสดงศักยภาพของตนเองได้ดีที่สุดแล้ว

เมื่อครั้งโอลิมปิกฤดูร้อน ปี 2008 ความสำเร็จของจีนทั้งในด้านการเล่นใหญ่ของเจ้าภาพและผลงานในสนามของนักกีฬา ได้เป็นตัวกระตุ้นให้ประชาชนในประเทศเกิดความสนใจด้านกีฬามากขึ้น แถมยังสามารถยกระดับจีนให้ทัดเทียมกับชาติมหาอำนาจในเวทีโลกได้อีกด้วย

 

UFABETWIN

และที่สำคัญสนามกีฬาจากปี 2008 ก็ยังสามารถถูกปรับโฉมมาใช้ในครั้งนี้ได้ด้วย ทั้งสนามรังนก และ อดีตสนามลูกบาศก์ ที่เคยใช้จัดแข่งกีฬาว่ายน้ำเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ต่างถูกนำมาปรับปรุงเพื่อใช้ในโอลิมปิกหนนี้อีกครั้ง

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้กล่าวถึงการจัดโอลิมปิกครั้งนี้ไว้ว่า “ไม่ได้แค่มายกระดับความมั่นใจในความสามารถที่จะฟื้นฟูประเทศจีนของเรา แต่จะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่ดีและความมุ่งมั่นในชาติของเรา เพื่อสร้างสรรค์ประชาคมที่พร้อมมุ่งสู่อนาคตของมนุษยชาติไปด้วยกัน”

แม้การเป็นเจ้าภาพในคำรบนี้จะเต็มไปด้วยคำครหาจากนานาประเทศ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายกลับมองว่า จีนไม่ได้สนใจว่าต่างชาติจะมองพวกเขาอย่างไร และโลกทั้งใบต้องยอมรับจีนในแบบปัจจุบันแทน

“พวกเขา (จีน) ไม่จำเป็นต้องทำกฎหมายของตัวเองชอบธรรมอยู่แล้ว และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำตามใจประชาคมโลก เพื่อทำให้โอลิมปิกครั้งนี้ประสบความสำเร็จ” ซู่ กั่วฉี นักประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์

ในตอนนี้ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, ลิทัวเนีย, และ โคโซโว ได้ประกาศบอยคอตด้านการทูต คือจะไม่ส่งตัวแทนจากรัฐบาลของตนไปร่วมในพิธีการใด ๆ ในขณะที่ตัวของนักกีฬายังสามารถร่วมลงแข่งขันได้

เหตุผลประกอบการบอยคอตดังกล่าวเกี่ยวข้องกับประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีต่อชาวอุยกูร์ ที่นับถือศาสนาอิสลาม และข้อพิพาทด้านดินแดนกับทิเบต, ไต้หวัน, และ ฮ่องกง หรือกรณีล่าสุดอย่างความปลอดภัยของ เผิง ฉ่วย นักเทนนิสหญิง ผู้เคยติดทีมโอลิมปิกจีน 3 สมัย ที่ไม่มีใครทราบถึงสถานการณ์อันแท้จริงของเธอ หลังเธอออกมาประกาศว่าเธอถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลของ สี จิ้นผิง ซึ่งทางคณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ก็ไม่ได้ออกมาพูดถึงกรณีดังกล่าวเลย และแม้จะมีคลิปการปรากฏตัวกับการสัมภาษณ์ออกมาภายหลัง ก็ดูเหมือนหลายฝ่าย (ยกเว้น ) จะไม่เชื่อนักว่าเธอปลอดภัยและมีอิสระอย่างแท้จริง

แต่หากตัดปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนออกไป (หรือเลี่ยงที่จะพูดถึง แบบที่ และทางการจีนทำ) ก็ต้องยอมรับว่าจีนสามารถแก้ไขปัญหามลภาวะได้ตามที่ท่าน สี สัญญาไว้จริง พร้อมกับสร้างโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง เพื่อช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจากปักกิ่งไปยังจางเจียโค่ว สนามแข่งขันกีฬากลางแจ้ง ให้เหลือเพียง 1 ชั่วโมง ที่เร็วกว่าเดิมถึง 4 เท่าด้วยกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่จีนแก้ปัญหาได้อย่างแยบยลคือ ในเมื่อมีหิมะไม่พอก็สร้างหิมะขึ้นมาเองเสียเลยนี่แหละ

หิมะเทียม และการรักษ์โลก

จุดที่น่ากังวลที่สุดของจีนในตอนนี้คือสนามแข่งสกีแบบอัลไพน์ ซึ่งถือเป็น “เพชรยอดมงกุฎ” ของการแข่งขัน ซึ่งเป็นสนามแข่งที่มีความยาว 9.2 กิโลเมตร และต้องถูกปกคลุมด้วยหิมะเทียมเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านคิวบิกเมตร เพื่อให้เพียงพอต่อข้อกำหนดขั้นต่ำของการแข่งขัน

 

UFABETWIN

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมืองเจ้าภาพต้องใช้หิมะเทียม เพราะแม้แต่ แวนคูเวอร์ ของแคนาดา ก็เคยประเมินปริมาณหิมะตกผิดพลาด จนต้องผลิตหิมะมาทดแทนให้เพียงพอ หรือในกรณีของ โซชิ ที่ทั้งกักตุนหิมะล่วงหน้าหลายปีควบคู่ไปกับการผลิตหิมะมาเพิ่มเติม เพื่อให้พอใช้จนตลอดรอดฝั่ง

แต่กับเคสของปักกิ่ง หรือในกรณีนี้ เขตหยานชิ่ง ที่ตั้งอยู่ในแนวละติจูดที่ต่ำกว่ามาก (แม้แต่โซชิ ที่ถือว่าอยู่ต่ำมาก ๆ แล้ว ยังอยู่ที่ละติจูด 43.12 ส่วนของหยานชิ่ง จุดสูงสุดนั้นอยู่แค่ละติจูด 40.46 เท่านั้น) นั่นคืออุณหภูมิของเจ้าภาพในครั้งนี้ไม่ได้หนาวเย็นเท่ากับโอลิมปิกครั้งก่อน และสภาพภูมิประเทศก็ไม่ได้เป็นใจเท่าแนวเทือกเขาอื่น ๆ ในประเทศตนเองอีกด้วย

สำหรับมาตรการผลิตหิมะ ทางจีนจะใช้ปืนใหญ่หิมะมากกว่า 170 ตัว เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 800,000 ตารางเมตร โดยอาศัยน้ำจำนวนมหาศาล เพื่อนำมาเลียนแบบกระบวนการเกิดหิมะตามธรรมชาติ และลำเลียงผ่านท่อให้ครอบคลุมทั่วระยะสนามแข่ง ซึ่งผลผลิตดังกล่าวนั้นมีคุณสมบัติคล้ายลูกครึ่งระหว่างน้ำแข็งกับหิมะ ที่ช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างตัวสกีกับลานแข่ง อันเป็นทั้งประโยชน์และโทษกับผู้เข้าแข่งขันในเวลาเดียวกัน

การผลิตหิมะขึ้นมาทดแทนนั้น อาจไม่ได้รับความสนใจมากเพียงนี้ หากทางการจีนไม่ได้ระบุว่านี่จะเป็นโอลิมปิกแบบรักษ์โลก โดยสนามแข่งขันทั้ง 12 แห่งจะทำงานภายใต้พลังงานแบบนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (แสงอาทิตย์, ลม, น้ำ เป็นต้น) แต่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมองว่าการผลิตหิมะแบบ 24 ชั่วโมง/วัน ต่อเนื่องเช่นนี้ อาจไม่ได้ช่วยรักษ์โลกกันตามที่ประกาศ และนี่ยังไม่รวมถึงประเด็นเรื่องการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้โอลิมปิกครั้งนี้เกิดขึ้นได้สำเร็จ

ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวถูกมองเห็นมาตั้งแต่ช่วงเสนอตัวเป็นเจ้าภาพของจีนแล้ว โดยคณะผู้ประเมินผลได้ให้ความเห็นว่า “มันอาจไม่มีหิมะตกอยู่นอกบริเวณสนามแข่งเลย แม้แต่ในหยานชิ่งก็ตาม ซึ่งอาจเป็นผลกระทบต่อภาพลักษณ์ได้” ซึ่งล่าสุดคณะนักกีฬาทีมชาติไทยได้เดินทางไปสำรวจบรรยากาศรอบสนามแข่งขันจริงแล้ว และพบว่าไม่ค่อยมีหิมะปกคลุมเท่าไหร่นัก โดย หรินารถ ศิริวรรณ หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาสกีอัลไพน์ทีมชาติไทย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ” (การไม่ค่อยมีหิมะ) ส่งผลเรื่องทัศนวิสัยของนักกีฬา เนื่องจากปกติจะซ้อมกันที่อิตาลีที่จะมีหิมะปกคลุมเป็นสีขาวทั่วพื้นที่ จึงต้องใช้เวลาในการปรับสายตากันเล็กน้อย”

แม้แต่เมืองอัลมาตี คู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวของจีน ยังตั้งสโลแกนมาทิ่มแทงแบบเจ็บแสบเบา ๆ ในระหว่างเสนอตัวเป็นเจ้าภาพว่า หรือแปลให้ได้ใจความว่า “อยู่ในโลกแห่งความจริงเถอะ” นั่นเอง

ในตอนนี้เราคงได้แต่รอดูกันว่า โอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่ง จะออกมาในรูปแบบไหน เพราะแม้พวกเขากำลังเผชิญข้อครหาด้านสิทธิมนุษยชน การผลิตหิมะแบบข้ามวันข้ามคืน หรือปัญหาในด้านการควบคุมยอดผู้ติดโควิดให้เป็น 0 อยู่ แต่ก็ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้แทบไม่ได้กระทบต่อการเตรียมตัวของเจ้าภาพเลย

“โลกกำลังมองมายังจีน และประเทศจีนพร้อมแล้ว” สี จิ้นผิง กล่าวในคำอวยพรปีใหม่ เมื่อเดือนที่ผ่านมา

UFABETWIN